เมนูนำทาง
ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้งห้า ปัจจัย 5 อย่างคนที่อยู่ในช่วงกลาง ๆ ของลักษณะทั้ง 5 อย่าง อาจเป็นคนที่ยืดหยุ่นปรับสภาพได้ เป็นคนกลาง ๆ และมีบุคลิกภาพที่พอดี ๆ แต่ก็อาจจะมองได้ว่า เป็นคนไม่มีหลักการ เข้าใจได้ยาก หรือคิดแต่ทางได้ทางเสีย[6]
มีนักวิจัยหลายพวกที่ตั้งแบบจำลองนี้ได้โดยต่างหาก ๆ[7]เริ่มจากการศึกษาลักษณะบุคลิกภาพที่รู้ แล้ววิเคราะห์ปัจจัย (factor analysis) ค่าวัดลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้เป็นร้อย ๆ (จากข้อมูลที่ได้จากคำถามที่ผู้ร่วมการทดลองแจ้งเอง จากการให้คะแนนของคนในสถานะเดียวกัน และจากการวัดที่เป็นกลาง ๆ ในการทดลอง) เพื่อที่จะหาปัจจัยมูลฐานของบุคลิกภาพ[8][9][10][11][12]งานปี 2009 ได้ใช้แบบจำลองนี้เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและพฤติกรรมเกี่ยวกับการศึกษา[13]
นักวิชาการของกองทัพอากาศสหรัฐเสนอแบบจำลองเบื้องต้นในปี 1961[11]แต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักต่อนักวิชาการในสถาบันวิจัยต่าง ๆ จนกระทั่งถึงคริสต์ทศวรรษ 1980ในปี 1990 ศ.ดิกแมนเสนอแบบจำลองบุคลิกภาพมีปัจจัย 5 อย่างซึ่งต่อมาในปี 1993 ศ.ลิวอิส โกลด์เบอร์กได้ใช้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สุดในแบบจำลอง[14]นักวิจัยพบว่า ปัจจัย 5 อย่างนี้ครอบคลุมบุคลิกภาพอื่น ๆ ที่รู้จักโดยมาก และเชื่อว่า เป็นโครงสร้างพื้นฐานของลักษณะบุคลิกภาพทั้งหมด[15]เป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์พอที่จะรวมข้อมูลที่ค้นพบและทฤษฎีเกี่ยวกับจิตวิทยาบุคลิกภาพทั้งหมด
มีกลุ่มนักวิจัยอย่างน้อย 4 กลุ่มที่ทำงานต่างหากจากกันเป็นทศวรรษ ๆ ในประเด็นปัญหานี้ แล้วโดยทั่ว ๆ ไป ก็สรุปลงที่ปัจจัย 5 อย่างเหล่านี้โดยมีนักวิชาการกองทัพอากาศเป็นกลุ่มแรก ตามมาด้วย ศ.โกลด์เบอร์ก[16][17][18][19][20]ศ.แค็ตเทลล์ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์[10][21][22][23]และ ดร.คอสตาและแม็คเครที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ[24][25][26][27]แม้ว่ากลุ่มนักวิจัยทั้ง 4 นี้จะใช้วิธีต่างกันเพื่อค้นหาลักษณะทั้ง 5 อย่าง และดังนั้นจึงได้ให้ชื่อต่างกันและมีนิยามต่างกัน แต่ว่า ทั้งหมดสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีและลงตัวกันทางการวิเคราะห์ปัจจัย[28][29][30][31][32]แต่ว่า มีงานศึกษาที่แสดงว่า ลักษณะใหญ่ 5 อย่างนี้ ไม่มีกำลังในการพยากรณ์และอธิบายพฤติกรรมในชีวิตจริงได้ เท่ากับลักษณะย่อย ๆ (facet) ของลักษณะใหญ่เหล่านี้[33][34]
ปัจจัยแต่ละอย่างมี aspect ทางบุคลิกภาพที่สัมพันธ์กัน 2 อย่างภายใน ที่อยู่เหนือ facet ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนของแบบจำลองนี้[35]โดยที่ aspect มีชื่อดังต่อไปนี้[35]
ความเปิดรับประสบการณ์(อังกฤษ: openness to experience) โดยทั่วไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหยั่งรู้คุณค่าและความยินดีชอบใจในศิลปะ การได้อารมณ์ต่าง ๆ การผจญภัย ไอเดียที่แปลกใหม่ จินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น และประสบการณ์ต่าง ๆคนที่เปิดรับประสบการณ์จะเป็นคนอยากรู้อยากเห็นแบบมีสติปัญญา เปิดรับอารมณ์ ไวต่อสุนทรียภาพ และยินดีที่จะลองสิ่งใหม่ ๆและเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ปิด มักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า และมีโอกาสที่จะมีความเชื่อที่ไม่ทั่วไป
แต่ว่าบางคนแม้จะมีลักษณะนี้โดยทั่วไปในระดับสูง และอาจสนใจเรียนรู้และสำรวจวัฒนธรรมใหม่ ๆ แต่จะไม่สนใจศิลปะหรือกวีนิพนธ์มากนักงานวิจัยพบว่า ความเปิดรับประสบการณ์สัมพันธ์อย่างมีกำลังกับจริยธรรมแบบเสรีนิยม (liberal ethics) เช่น การสนับสนุนนโยบายยอมรับความต่างทางผิวพรรณ[36]
ลักษณะอีกอย่างของไสตล์การคิดแบบเปิดก็คือ ความสามารถในการคิดเป็นสัญลักษณ์เป็นนามธรรมที่ห่างจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมมากผู้ที่มีคะแนนต่ำในเรื่องนี้มักจะสนใจในสิ่งที่ธรรมดา ที่เป็นเรื่องตามประเพณีและชอบสิ่งที่ง่าย ๆ ตรงไปตรงมา เห็นได้ชัด มากกว่าสิ่งที่ซับซ้อน คลุมเครือ หรือละเอียดเห็นได้ยากและอาจจะเห็นศิลปะและวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเรื่องน่าสงสัย หรือเห็นว่าไม่น่าสนใจคนที่ไม่เปิดจะชอบใจสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่าสิ่งใหม่ ๆ และเป็นคนอนุรักษนิยม และไม่ชอบที่จะเปลี่ยน[26]
ความพิถีพิถัน(conscientiousness) เป็นความโน้มเอียงที่จะมีวินัย ทำตามหน้าที่ และตั้งเป้าหมายความสำเร็จโดยมีเกณฑ์ หรือโดยเทียบกับที่คนอื่นคาดหวังเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับวิธีที่บุคคลควบคุม ปรับระดับ และจัดการอารมณ์ชั่ววูบหรือความหุนหันพลันแล่นบุคคลที่มีคะแนนในเรื่องนี้สูงบ่งชี้ความชอบใจพฤติกรรมที่วางแผนไว้ไม่ใช่พฤติกรรมที่ทำแบบทันทีทันใด[37]และโดยเฉลี่ยแล้ว ระดับความพิถีพิถันจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงวัยต้นผู้ใหญ่ แล้วจะลดลงเมื่อสูงวัยขึ้น[38]
ความสนใจต่อสิ่งภายนอก(extraversion) มีลักษณะเป็นการชอบความหลายหลากของกิจกรรม (เทียบกับการทำอะไรให้ลึกซึ้ง) surgency (คือความโน้มเอียงเพื่อจะได้ความยินดีความพอใจ) ที่มาจากสถานการณ์หรือกิจกรรมภายนอก และการได้พลังและแรงจูงใจจากภายนอก[39]ลักษณะนี้ ชัดเจนตรงที่การทำกิจกรรมพัวพันกับโลกภายนอกคนเช่นนี้ชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักจะมองว่าเป็นคนมีพลังมากมักจะเป็นคนกระตือรือร้น และชอบทำมากกว่าชอบคิดมักจะเป็นคนเด่นในกลุ่ม ชอบพูดคุย และแสดงตัวเอง[40]
ในนัยตรงกันข้าม คนที่สนใจต่อสิ่งภายใน ชอบทำกิจกรรมทางสังคมและมีพลังน้อยกว่าคนที่สนใจต่อสิ่งภายนอกโดยดูจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่เด่น รอบคอบระมัดระวัง และเกี่ยวข้องกับสังคมน้อยกว่าแต่ความไม่เกี่ยวข้องทางสังคมไม่ควรตีความว่า เป็นเพราะความอายหรือเกิดจากความเศร้าซึมเพราะว่า เป็นคนที่สามารถอยู่เป็นอิสระจากสังคมได้ดีกว่าคนสนใจภายนอกคือ คนพวกนี้ต้องการสิ่งเร้าน้อยกว่า และต้องการเวลาเป็นของตัวเองมากกว่าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่เป็นกันเองหรือต่อต้านสังคม อาจเพียงแต่เป็นคนที่สงวนท่าทีมากกว่าในวงสังคม[41]
ความยินยอมเห็นใจ(agreeableness) สะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในการให้ความสนใจต่อความกลมกลืนกันทางสังคมบุคคลเช่นนี้ให้คุณค่ากับการเข้ากับผู้อื่นได้มักจะเป็นคนที่เกรงใจผู้อื่น ใจดี ใจกว้าง เชื่อใจผู้อื่น เชื่อใจได้ ขนขวายช่วยเหลือผู้อื่น และยอมที่จะประนีประนอมประโยชน์และเรื่องที่ตนสนใจเพื่อที่จะเข้ากับผู้อื่น[41]บุคคลเช่นนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดี
ส่วนบุคคลตรงกันข้ามให้ความสำคัญต่อประโยชน์หรือความสนใจของตนเหนือกว่าการเข้ากับผู้อื่นได้มักจะไม่สนใจความเป็นสุขของผู้อื่น และมีโอกาสน้อยกว่าที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นบางครั้ง ความไม่มั่นใจถึงเจตนาของผู้อื่นทำให้บุคคลนี้ขี้ระแวง ไม่เป็นมิตร และไม่ร่วมมือ[42]
เพราะว่าการยินยอมเห็นใจผู้อื่นเป็นลักษณะทางสังคม งานวิจัยแสดงว่ามันมีสหสัมพันธ์เชิงบวกกับคุณภาพความสัมพันธ์กับคนในทีมของตนและสามารถใช้พยากรณ์ทักษะความเป็นผู้นำบางอย่างได้ (เช่น transformational leadership ที่ผู้นำร่วมมือกับลูกน้องเพื่อกำหนดสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน สร้างวิสัยทัศน์เป็นแนวทางการเปลี่ยนแปลงโดยเป็นแรงดลใจ แล้วผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับลูกน้องผู้ตกลงที่จะร่วมมือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น)ในงานศึกษากับผู้ร่วมการทดลอง 169 คนที่เป็นหัวหน้าในอาชีพต่าง ๆผู้ร่วมการทดลองทำข้อทดสอบบุคลิกภาพ แล้วให้ลูกน้องที่ตนคุมโดยตรงสองคนประเมินความเป็นผู้นำผู้นำที่ยินยอมเห็นใจผู้อื่นในระดับสูง มีโอกาสสูงกว่าที่ลูกน้องจะมองว่าเป็นผู้นำประเภท transformational มากกว่าประเภท transactional (ผู้เพ่งความสนใจไปที่การควบคุม การจัดองค์การ และผลงานของกลุ่ม เป็นสไตล์ผู้นำที่โปรโหมตให้ลูกน้องทำตามคำของตนโดยใช้ทั้งรางวัลและการลงโทษ)แม้ว่าค่าความสัมพันธ์จะไม่สูง (r=0.32, β=0.28, p<0.01) แต่ก็มีค่าสูงสุดในบรรดาลักษณะใหญ่ทั้ง 5 อย่าง แต่ว่า งานวิจัยเดียวกันแสดงว่าลักษณะไม่สามารถใช้พยากรณ์ประสิทธิภาพของความเป็นผู้นำที่ประเมินโดยหัวหน้างานโดยตรงของผู้นำ[43]นอกจากนั้นแล้ว การยินยอมเห็นใจผู้อื่น มีความสัมพันธ์เชิงลบกับผู้นำทหารคืองานวิจัยกับหน่วยทหารในเอเชียพบว่า ผู้นำที่ยินยอมเห็นใจผู้อื่นมีโอกาสสูงกว่าที่จะได้คะแนนต่ำสำหรับทักษะความเป็นผู้นำแบบ transformational[44]และดังนั้น งานวิจัยต่อไปอนาคตอาจจะให้องค์กรต่าง ๆ สามารถกำหนดศักยภาพของบุคคล โดยอาศัยลักษณะบุคลิกภาพได้
Neuroticism เป็นความโน้มเอียงที่จะประสบอารมณ์เชิงลบ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล หรือความซึมเศร้า[45]ซึ่งบางครั้งเรียกว่าความไม่เสถียรทางอารมณ์ (emotional instability) หรืออาจจะเรียกกลับกันว่า ความเสถียรทางอารมณ์ตามทฤษฎีปี 1967 ของ ศ.จิตวิทยาทรงอิทธิพล ดร. ไอเซ็งก์ neuroticism สัมพันธ์กับความอดทนต่อความเครียดและสิ่งเร้าที่ไม่น่าชอบใจต่ำ[46]คือคนที่ได้คะแนนสูงในลักษณะนี้ มีอารมณ์ไวและเสี่ยงต่อความเครียดมีโอกาสสูงกว่าที่จะเห็นเหตุการณ์ปกติธรรมดาว่าเป็นภัย และความขัดข้องใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าเป็นเรื่องยากถึงให้สิ้นหวังและปฏิกิริยาเชิงลบของคนเหล่านี้มักจะคงอยู่เป็นเวลายาวนานกว่าปกติ ซึ่งก็หมายความว่ามักจะมีอารมณ์ไม่ดียกตัวอย่างเช่น neuroticism สัมพันธ์กับการมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับการงาน ความมั่นใจว่างานเป็นตัวขัดขวางความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น และความวิตกกังวลเกี่ยวกับงาน[47]นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่มีคะแนนสูงในเรื่องนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของการนำไฟที่ผิวหนัง (skin conductance) ที่ไวกว่าคนที่มีคะแนนต่ำกว่า[46][48](ซึ่งเป็นตัวชี้ความไวอารมณ์)ปัญหาในการควบคุมอารมณ์เหล่านี้อาจจะทำให้ไม่สามารถคิด ตัดสินใจ หรือจัดการกับความเครียดได้ดี[ต้องการอ้างอิง]ความไม่พอใจในความสำเร็จในชีวิตของตนเอง อาจจะสัมพันธ์กับคะแนนที่สูงในเรื่องนี้ และอาจเพิ่มโอกาสที่จะเกิดโรคซึมเศร้า[49]นอกจากนั้นแล้ว คนที่มีลักษณะนี้สูงมักจะมีประสบเหตุการณ์เชิงลบในชีวิตมากกว่า เช่น ความไม่สำเร็จทางการงาน การหย่าร้าง และความตาย[45][50]แต่ว่าระดับของลักษณะนี้ก็สามารถเปลี่ยนได้โดยเป็นการตอบสนองต่อประสบการณ์เชิงบวกและลบในชีวิต[45][50]
ส่วนในทางตรงกันข้าม คนที่มีคะแนนต่ำในเรื่องนี้ไม่หัวเสียง่าย ๆ และอารมณ์ไม่ไวเป็นคนมักจะนิ่ง ๆ มีอารมณ์เสถียร และปราศจากความรู้สึกเชิงลบที่ทนอยู่นาน ๆแต่ว่าการปราศจากอารมณ์เชิงลบไม่ได้หมายความว่าจะประสบกับอารมณ์เชิงบวกมากด้วย[51]
Neuroticism คล้ายกับแต่ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับโรคประสาท (neurosis)และนักจิตวิทยาบางพวกชอบเรียก neuroticism ว่า "ความเสถียรทางอารมณ์" (emotional stability) เพื่อจะทำให้แตกต่างจากคำว่า "neurotic" ที่ใช้ในอาชีพ
เมนูนำทาง
ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้งห้า ปัจจัย 5 อย่างใกล้เคียง
ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้งห้า ลักษณวงศ์ ลักษณะการวางท่า ลักษณ์ ราชสีห์ ลักษณะไฟ ลักษณ์ อภิชาติ ลักษณะปรากฏ ลักษณ์พร ชูเชิดกีรติวัฒน์ ลักษณะ ลักษณ์ วจนานวัชแหล่งที่มา
WikiPedia: ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้งห้า http://50.22.92.12/index.php/ibm/article/view/j.ib... http://individual.utoronto.ca/jacobhirsh/publicati... http://find.galegroup.com/gic/infomark.do? http://ic.galegroup.com/ic/suic/NewsDetailsPage/Ne... http://www.personality-and-aptitude-career-tests.c... http://asm.sagepub.com/cgi/content/abstract/9/2/18... http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S... http://www.subjectpool.com/ed_teach/y4person/1_int... http://www.workingresources.com/nss-folder/pdffold... http://apsychoserver.psych.arizona.edu/jjbareprint...